การปลูกองุ่น
การปลูกองุ่นในปรเทศไทยได้รับความมนิยมเป็นอย่างมากในภาคตะวันออก
และด้วยองุ่นเป็นพืชที่สามารถปลูกได้ในหลายๆสภาพอาการจึงทำให้การปลูกขยายไปบางในภาคเหนือ
ภาคตะวันออกเฉียบหนือ และภาคกลาง
แต่ที่ทำให้การปลูกองุ่นไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรอาจเป็นเพราะองุ่นเป็นพืชที่ไม่ได้ทนต่อแมลง
และโรคพืชได้เท่าใดนัก ถึงแม้ว่าจะมีราคาสูงก็ตามครับ
การปลูกองุ่น
สภาพอากาศที่เหมาะแก่การปลูกองุ่น
องุ่นเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000-4,000
ฟุต
แต่ก็มีบางพันธุ์ก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ที่สูงจากน้ำทะเล 6,000
ฟุตก็มีครับ ส่วนในประเทศไทยก็สามารถเจริญเติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน
แต่องุ่นที่ปลูกในประเทศไทยเหมาะที่จะปลูกเพื่อนทานผลมากกว่า
การปลูกเพือทำเหล้าเหมือนกย่างในยุโรป
สภาพดินที่เหมาะกับการปลูกองุ่น
ต้องเป็นดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ถ้าจะให้ดีควรเป็นดินเหนียวปนดินร่วนตามที่ราบลุ่มแม่น้ำ
สภาพความเป็นกรด-ด่าง(HP) อยู่ที่ 5.6-6.4
และมีปริมาณน้ำเพียงพอ แต่น้ำท่วมไม่ถึงเด็ดขาด
พันองุ่นที่นิยมปลูก
1. พันธุ์ไวท์มะละกา เป็นพันธุ์ที่ปลูกมากที่สุดในทุกวันนี้
เหมาะในการปลูกเพื่อทานผล มีด้วยกัน 2 สายพันธุ์หลักๆ คือ ชนิดผลกลม
และผลยาว ลักษณะทางสายพันธุ์มีช่อใหญ่ มีลูกเยอะ สีของผลเมือแก่พร้อมเก็บเกี่ยว
มีสีเหลืองอมเขียว รสหวาน หนึ่งปีให้ผลผลิต 2
ครั้ง
2.
พันธุ์คาร์ดินัล เป็นองุ่นที่ปลูกง่าย
ดูแลง่ายให้ผลผลิตสูง ช่อผลใหญ่ ผลมีสีม่วนดำ รสหวาน กรอบ เปลือกบาง (ทำให้ผลแตกง่าย
หากเก็บเกี่ยวไม่ทัน) ในเวลา 2
ปี เก็บผลผลิตได้ 5
ครั้ง แต่ราคาถูกกว่าพันธ์ไวท์มะละกา จึงไม่ค่อยนิยมปลูกเท่าที่ควร
วิธีการขยายพันธ์องุ่น
องุ่นเป็นพืชที่สามารถขยายพันธุ์ได้ง่ายมากๆ ครับ สามารถทำได้หลากหลายวิธี เช่น
การปักชำ การตอน การติดตา การเสียบยอด และการเสริมราก
แต่ไม่นิยมขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดเพราะจะทำให้กลายพันธุ์ได้
และติดโรคพืชได้ง่ายครับ
การปลูกและการดูแลรักษา
1. การเตรียมพื้นที่
ขึ้นอยู่กับพื้นที่เพาะปลูกองุ่นในแต่ละพื้นที่ เช่น พื้นที่ลุ่ม
น้ำท่วมขังได้ง่าย จะปลูกด้วยการยกร่องให้สูง เพื่อป้องกันรางเน่าในองุ่นครับ
1.1 การปลูกแบบยกร่อง เตรียมพื้นที่โดยการยกร่องให้แปลงมีขนาดกว้าง
6 เมตร ความยาวร่องแล้วแต่ขนาดของพื้นที่
ส่วนความสูงของร่องให้สังเกตจากปริมาณน้ำที่เคยท่วมสูงสุดโดยให้อยู่สูงกว่าแนวระดับน้ำท่วม
50 เซนติเมตร ขนาดร่องน้ำกว้าง 1.5
เมตร ลึก 1 เมตร ก้นร่องน้ำกว้าง 0.5-0.7
เมตร การปลูกควรปลูกแถวเดียวตรงกลางแปลง เว้นระยะระหว่างหลุมให้ห่างกัน 3-3.50
เมตร
1.2 การปลูกในที่ดอน ควรไถพรวนเพื่อกำจัดวัชพืชและทำให้ดินร่วนซุย
ใช้ระยะปลูก 3×4-3.50×5 เมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความอุดมสมบูรณ์ของดิน
2. วิธีการปลูก
1. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้าง ยาว และลึก
ประมาณ 50 เซนติเมตร
2. ผสมดิน ปุ๋ยคอก และปุ๋ยร๊อคฟอสเฟต
เข้าด้วยกันในหลุมให้สูงประมาณ 2 ใน 3
ของหลุม
3. ยกถุงกล้าต้นองุ่นวางในหลุม
โดยให้ระดับของดินในถุงสูงกว่าระดับดินปากหลุมเล็กน้อย
4. ใช้มีดที่คมกรีดถึงจากก้นขึ้นมาถึงปากถุงทั้ง 2
ด้าน (ซ้ายและขวา)
5. ดึงถุงพลาสติกออก โดยระวังอย่าให้ดินแตก
6. กลบดินที่เหลือลงไปในหลุม
7. กดดินบริเวณโคนต้นให้แน่น
8. ป้กไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมพัดโยก
9. หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่น ฟางข้าว
หญ้าแห้ง
10. รดน้ำให้โชก
11. ทำร่มเงา เพื่อช่วยพรางแสงแดด
3. การทำค้าง
การทำค้างขจะทำหลังจากที่ปลูกองุ่นแล้วประมาณ 1 ปี
ซึ่งต้นองุ่นจะสูงพอดีที่จะขึ้นค้างได้
ค้างต้นองุ่นมีหลายแบบด้วยกันแต่แบบที่นิยมกันมากคือ ค้างแบบเสาคู่แล้วใช้ลวดขึง
มี
วิธีการและขั้นตอน ดังนี้
การเลือกเสาค้าง เสาค้างอาจใช้เสาซีเมนต์หน้า3
นิ้ว หรือ 4 นิ้วก็ได้
เสาค้างซีเมนต์จะแข็งแรงทนทานอยู่ได้นานหลายปี แต่มีราคาแพงและหนัก
เวลาทำค้างต้องเสียแรงงงานมาก ถ้าใช้เสาไม้ให้ใช้ไม้เนื้อแข็งขนาดหน้า 2×3
นิ้ว หรือหน้า 2×4 นิ้ว หรือเสากลมก็ได้ เสาควรยาวประมาณ 2.5-3
เมตร หรือยาวกว่านี้ ซึ่งเมื่อปักลงดินเรียบร้อยแล้ว
ให้เหลือส่วนที่อยู่เหนือดิน ประมาณ 1.50 เมตร
การปลูกองุ่น
การปักเสา ให้ปักเป็นคู่ 2
ข้างของแปลงในแนวเดียวกัน โดยให้เสาห่างกัน 2
เมตร และเมื่อติดคานแล้ว ให้เหลือหัวไม้ยื่นออกไปทั้งสองข้างๆ ละ 50 เซนติเมตร
(ดังภาพแบบที่ 1) ถ้าปักเสาห่างกัน 3
เมตร เมื่อติดคานบนแล้วจะพอดีหัวไม้ (ตามภาพแบบที่ 2) การติดคานเชื่อมระหว่างเสาแต่ละคู่ให้ใช้น๊อตเหล็กเป็นตัวยึด
ไม่ควรยึดด้วยตะปูเพราะจะไม่แข็งแรงพอ ระยะห่างระหว่างเสาแต่ละคู่ประมาณ 10-20
เมตร ยิ่งปักเสาถี่จะยิ่งแข็งแรงทนทานแต่ก็สิ้นเปลืองมากบางแห่งจึงปักเสาเพียง 3
คู่ คือ หัวแปลง กลางแปลง และท้ายแปลง
และระหว่างเสาแต่ละคู่ให้ค้างไม้รวกช่วยค้ำไว้เป็นระยะๆ
ซึ่งก็สามารถใช้ได้และประหยัดดีแต่ต้องคอยเปลี่ยนค้างไม้รวกบ่อย
การขึงลวด ลวดที่ใช้ทำค้าง
ให้ใช้ลวดขนาดใหญ่พอสมควรคือ ลวดเบอร์ 11 ซึ่งลวดเบอร์ 11
หนัก 1 กิโลกรัม จะยาวประมาณ 18
เมตร ให้ขึงลวดพาดไปตามคานแต่ละคู่ตลอดความยาวของแปลง โดยใช้ลวด 4-6
เส้น เว้นระยะลวดให้ห่างเท่าๆ กัน
ที่หัวแปลงและท้ายแปลงให้ใช้หลักไม้ขนาดใหญ่ตอกฝังลงไปในดินให้แน่น
แล้วใช้ลวดโยงจากค้างมามัดไว้ที่หลักนี้เพื่อให้ลวดตึง
หลังจากขึงลวดเสร็จแล้วให้ตรวจดูว่าลวดหย่อนตกท้องช้างหรือไม่
ถ้าหย่อนมากให้ใช้ไม้รวกขนาดใหญ่ปักเป็นคู่ตามแนวเสาค้าง
แล้วใช้ไม้รวกอีกอันหนึ่งพาดขวางผูกด้านบนในลักษณะเดียวกับค้าง
เพื่อช่วยรับน้ำหนักเป็นระยะๆ ไปตลอดทั้งแปลง เพราะเมื่อต้นองุ่นขึ้นค้างจนเต็มแล้วจะมีน้ำหนักมากจำเป็นต้องช่วยรองรับน้ำหนักหรือค้ำยันไว้ไม่ให้ค้างหย่อน
4. การตัดแต่งทรงต้นในระยะเลี้ยงเถา
องุ่นเป็นพืชที่เจริญเติบโต
และมีการแตกกิ่งก้านสาขาเร็วจึงจำเป็นต้องมีการตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ต้นองุ่นเจริฐเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง
ต้นองุ่นที่ปลูกเสร็จแล้วให้หาไม้รวกปักขนาบลำต้นแล้วจึงผูกต้นชิดกับเสาเพื่อบังคับให้ต้นตั้งตรง
ในระหว่างนี้ตาข้างจะเจริญพร้อมกับตายอด
ถ้าปล่อยทิ้งไว้จะทำให้การเจริญส่วนยอดลดลง ดังนั้นจึงต้องตัดตาข้างทิ้งเสมอๆ
และผูกให้ยอดองุ่นตั้งตรง เมื่อต้นองุ่นเติบโตจนมีความสูง 1.5
เมตร หรือจากยอดถึงระดับค้าง หรือเสมอระดับลวด ต้องตัดยอดทิ้ง
จัดกิ่งให้อยู่ตรงข้ามกันเพื่อให้ตาข้างที่อยู่บริเวณยอดเจริญออกมา 2
ยอดตรงข้ามกัน ซึ่งจะเอาไว้ทั้ง 2 กิ่งหรือกิ่งเดียวกันก็ได้ ถ้าเอาไว้ 2
กิ่งให้จัดกิ่งทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน
การไว้ทั้ง 2
กิ่งมักพบปัญหาคือ กิ่งทั้ง 2 เจริญเติบโตไม่เท่ากัน
ทำให้การกระจายของผลไม่สม่ำเสมอกันจึงมักนิยมไว้กิ่งเพียงกิ่งเดียว
คือหลังจากที่ตัดยอด และตาแตกออกมาเป็นกิ่งแล้ว ให้เลือกกิ่งที่สมบูรณ์
แข็งแรงไว้เพียงกิ่งเดียว อีกกิ่งหนึ่งตัดออก กิ่งที่คงค้างไว้ของทุกต้นให้จัดกิ่งหันไปในทิศทางเดียวกันคืนหันไปทางหัวแปลงหรือท้ายแปลง
หลังจากที่จัดกิ่งให้หันไปในทิศที่ต้องการแล้ว เมื่อกิ่งนั้นยาวประมาณ 50
เซนติเมตร ให้ตัดยอดออก กิ่งนั้นจะแตกตาใหม่เติบโตเป็นกิ่งใหม่ 2
กิ่งให้คงเหลือ ไว้ทั้ง 2 กิ่ง และเมื่อกิ่งใหม่ยาวประมาณ 50
เซนติเมตร ก็ตัดยอดอีกและเหลือไว้ทั้ง 2 กิ่งเช่นเดียวกัน ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งองุ่นเต็มค้างจึงหยุดการตัดยอด ในระหว่างที่ตัดยอดให้กิ่งแตกใหม่นั้น
จะต้องจัดกิ่งให้กระจายเต็มค้างอย่างทั่วถึงอย่าให้ทับกันหรือซ้อนกันมาก
จัดให้กิ่งอยู่บนค้างเสมอ อย่าให้กิ่งชูโด่งขึ้นไปด้านบนหรือห้อยย้อยลงด้านล่าง
การจัดกิ่งให้อยู่ในที่ที่ต้องการอาจจะใช้เชือกกล้วยผูกมักกับลวดก็ได้
เพราะเชือกกล้วยจะผุเปื่อยเร็ว ทำให้การตัดแต่งกิ่งในครั้งต่อไปทำได้สะดวก
กิ่งเหล่านี้เรียกว่า “เคน” ซึ่งเป็นกิ่งที่ใช้ตัดแต่งเพื่อการออกดอกต่อไป
ช่วงการเจริญเติบโตของต้นองุ่นตั้งแต่ปลูกตัดแต่งทรงต้นจนต้นมีอายุพอที่จะตัดแต่งกิ่งได้เรียกว่า
“ระยะเลี้ยงเถา” ซึ่งใช้เวลาประมาณ
8-12 เดือน
5. การตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ออกดอก
ต้นองุ่นที่นำมาปลูกในบ้านเรานั้นถ้าไม่ตัดแต่งกิ่งแล้วจะไม่ออกดอกหรือออกเพียงเล็กน้อยให้ผลที่ไม่สมบูรณ์
การจะให้ต้นองุ่นออกดอกได้ต้องตัดแต่งกิ่งช่วยหลังจากต้นองุ่นพักตัวอย่างเต็มที่แล้วและก่อนตัดแต่งกิ่ง
ต้องงดการให้น้ำ 7 วัน
เพื่อให้องุ่นออกดอกได้มากอายุการตัดแต่งให้ออกดอกในครั้งแรกหรือ “มีดแรก”
ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้น อายุของต้น และพันธุ์ เป็นต้น เช่น
องุ่นพันธุ์คาร์ดินัล ตัดแต่งได้เมื่ออายุ 9-10
เดือน หลังจากการปลูกในแปลงจริง
องุ่นพันธุ์ไวท์มะละกา ตัดแต่งกิ่งได้เมื่ออายุ
10-12 เดือน หลังจากปลูกในแปลงจริง
กิ่งที่จะตัดแต่งเพื่อให้ออกดอกจะต้องเป็นกิ่งที่แก่จัด
กิ่งเป็นสีน้ำตาล ใบแก่จัด ดังนั้นก่อนการตัดแต่งจะต้องงดให้น้ำ 1-2
สัปดาห์ เพื่อให้ต้นองุ่นพักตัวอย่างเต็มที่
การตัดแต่งให้ใช้กรรไกรตัดกิ่งช่วงสุดท้ายให้สั้นลง
ความยาวของกิ่งที่เหลือขึ้นอยู่กับพันธุ์องุ่นด้วย เช่น
พันธุ์คาร์ดินัล ให้ตัดสั้นเหลือเพียง 3-4 ตา
พันธุ์มะละกา ให้ตัดสั้นเหลือเพียง 5-6 ตา
ถ้าเป็นกิ่งอ่อนควรเว้นตาไว้เพิ่มขึ้นและนำกิ่งที่ตัดออกจากแปลงปลูกไปเผาทิ้งหรือฝังเสีย
อย่าปล่อยทิ้งไว้ใต้ต้นเพราะจะเป็นที่อยู่อาศัยของโรคแมลงต่างๆ
ที่จะเข้าทำลายองุ่นได้ แล้วจึงเริ่มให้น้ำแก่ต้นองุ่น หลังจากนั้น 15
วันต้นองุ่นจะเริ่มแตกกิ่งใหม่ ซึ่งกิ่งใหม่ที่แตกออกมานี้จะมี 2
พวกคือ พวกหนึ่งมีช่อดอกอยู่ด้วย และอีกพวกหนึ่งมีแต่ใบอย่างเดียว
สามารถสังเกตได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ คือ ถ้ากิ่งไม่มีช่อดอกติดออกมาด้วยแสดงว่า
กิ่งนั้นจะมีแต่ใบอย่างเดียว เพราะช่อดอกจะปรากฏอยู่บริเวณโคนกิ่งที่แตกออกมาใหม่นี้เท่านั้น
ต่อจากนั้นอีก 15 วัน
ดอกก็จะเริ่มบานจากโคนช่อดอกไปยังปลายช่อดอกใช้เวลา 2
วันก็จะบานหมดทั้งช่อ ในช่วงดอกบานนั้นเป็นช่วงที่อ่อนแอ
ถ้ามีฝนตกหนักอาจทำให้ดอกร่วงและเสียหายได้
6. การปฏิบัติหลังจากตัดแต่งกิ่ง
6.1 การตบแต่งกิ่งและการจัดกิ่ง
หลักงจากการตัดแต่งกิ่งได้ 15 วัน องุ่นจะแตกกิ่งใหม่ออกมาจำนวนมาก
มีทั้งกิ่งที่มีช่อดอก กิ่งที่มีแต่ใบอย่างเดียว และกิ่งแขนงเล็กๆ
ซึ่งกิ่งแขนงเล็กพวกนี้ให้ตัดออกให้หมดเหลือไว้เฉพาะกิ่งที่มีช่อดอก
และกิ่งที่มีแต่ใบอย่างเดียวที่เป็นกิ่งขนาดใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้ใบที่อยู่โคนๆ
กิ่งก็ให้ตัดออกด้วย เพื่อให้โปร่งไม่ทึบเกินไป เมื่อตัดแต่งกิ่งแล้ว
และเห็นว่ากิ่งยาวพอสมควรจัดกิ่งให้อยู่บนค้างอย่างเป็นระเบียบ
กระจายตามค้างและไม่ทับซ้อนกันหรือก่ายกันไปมา
เพราะกิ่งที่แตกออกมาใหม่จะแตกออกทุกทิศทุกทางเกะกะไปหมด วิธีจัดกิ่งคือ
โน้มกิ่งให้มาพาดอยู่บนลวดแล้วอาจผูกด้วยเชือกกล้วย หรือใบกล้วยแห้งฉีกเป็นริ้วๆ
ไม่ให้กิ่งที่ชี้ขึ้นไปด้านบนหรือห้อยย้อยลงด้านล่าง
เพราะจะไม่สะดวกในการปฏิบัติงาน เวลาจัดกิ่งต้องระมัดระวังอย่าให้กระทบกระเทือนดอก
เพราะจะฉีกขาดเสียหายได้ง่าย พยายามจัดให้ช่อดอกห้อยลงใต้ค้างเสมอเพื่อสะดวกในการปฏิบัติงานต่างๆ
ในสวน
6.2 การตัดแต่งข่อดอก หลังจากจัดกิ่งเรียบร้อยแล้ว
ช่อดอกจะเจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งต้นองุ่นออกดอกมากเกินไป
ถ้าปล่อยไว้ทั้งหมดจะทำให้ต้นโทรมเร็ว คุณภาพของผลของผลไม่ดีเท่าที่ควร ฉะนั้นถ้าเห็นว่า
มีช่อดอกมากเกินไปให้ตัดออกบ้าง การตัดแต่งช่ออาจทำตั้งแต่กำลังเป็นดอกอยู่ก็ได้
แต่ไม่ค่อยนิยมเพราะไม่แน่ว่าช่อที่เหลือจะติดผลดีหรือไม่
จึงแนะนำให้ตัดแต่งช่อที่ติดเป็นผลเล็กๆ แล้ว
โดยเลือกช่อที่เห็นว่ามีขนาดเล็กรูปทรงไม่สวย ติดผลไม่สม่ำเสมอ มีแมลงทำลายและเหลือช่อที่มีรูปทรงสวยไว้ให้กระจายอยู่ทั่วทุกกิ่งอย่างสม่ำเสมอ
6.3 การตัดแต่งผล
องุ่นที่ปลูกันอยู่ปัจจุบันในบ้านเรามักติดผลแน่นมาก
ถ้าไม่ตัดแต่งผลในช่อจะแน่นเกินไป ทไให้ผลที่ได้มีขนาดเล็ก คุณภาพไม่ดี
หรือเบียดเสียดกันจนผลบิดเบี้ยวทำให้ดูไม่สวยงาม
จำเป็นต้องตัดแต่งผลใสช่อออกบ้างให้เหลือพอดี ไม่แน่นเกินไปหรือโปร่งเกินไป
การตัดแต่งผลออกจากช่อมักทำ 1-2 ครั้ง เมื่อผลโตพอสมควร
ผลองุ่นอ่อนที่ตัดออกมาไปดองไว้ขายได้
วิธีการให้ใช้กรรไกรขนาดเล็กสอดเข้าไปตัดที่ขั้วผล อย่าใช้มือเด็ดหรือดึง
เพราะจะทำให้ช่อผลช้ำเสียหาย ฉีกขาด
และมีส่วนของเนื้อผลติดอยู่ที่ขั้วทำให้โรคเข้าทำลายได้ง่าย ข้อควรระวัง
เมื่อองุ่นติดผลแล้ว ผู้ที่จะเข้าไปปฏิบัติงานในส่วนต้องสวมหมวกหรือโพกศีรษะเสมอ
อย่าให้เส้นผมไปโดนผลองุ่นจะทำให้ผลองุ่นเน่าเสียได้
6.4 การใช้สารฮอร์โมน สารฮอร์โมนที่ใช้มีวัตถุประสงค์เพื่อข่วยให้ช่อดอกยืดยาวขึ้น
ทำให้ช่อโปร่ง ผลไม่เบียดกันมาก ประหยัดแรงงานในการตัดแต่งผล
นอกจากนี้ยังช่วยให้ผลยาว ผลโตขึ้นสวยงาม รสชาติดี สีสวย หวาน กรอบ
ผลองุ่นที่ชุบด้วยฮอร์โมนจึงขายได้ราคาดีสำหรับพันธุ์องุ่นที่นิยมใช้สารฮอร์โมนคือ
พันธุ์ไวท์มะละกา เพราะติดผลดกมาก จนต้องตัดแต่งผลทิ้งเป็นจำนวนมาก
การใช้สารฮอร์โมนจึงช่วยให้ช่อผลยืดยาวขึ้นไม่ต้องตัดแต่งมากและช่วยในผลขยายใหญ่ยาวขึ้นดูสวยงาม
ส่วนพันธุ์คาร์ดินัลไม่ค่อยนืยมใช้เพราะองุ่นพันธุ์นี้ติดผลไม่ค่อยดก
ผลไม่เบียดกันแน่น ถ้าใช้ฮอร์โมนจะทำให้ช่อองุ่นดูโหรงเหรงไม่น่าดู
ปกติผลองุ่นพันธุ์นี้โตอยู่แล้วและเป็นผลทรงกลมส่วนฮอร์โมนที่ใช้ในการยืดช่อผล
ขยายขนาดของผลคือ สาร “จิบเบอร์เรลลิน” ซึ่งมีจำหน่ายในท้องตลาด
(ชื่อทางการค้าต่างๆ กัน) อัตราที่ใช้ได้ผลคือ 20
พีพีเอ็ม (คือตัวยา 20 ส่วน ในน้ำ 1
ล้านส่วน) นิยมใช้ 1-2 ครั้งคือ ครั้งแรกหลังจากดอกบาน 7
วัน (ดอกบาน 80 เปอร์เซนต์ของทั้งช่อ) ส่วนครั้งที่ 2
หลังจากครั้งแรกประมาณ 7 วัน
วิธีใช้ การใช้สารฮอร์โมน นี้อาจใช้วิธีฉีดพ่นไปที่ช่อดอกช่อผลให้ทั่วทุกต้นทั้งแปลง
ซึ่งแม้จะโดนใบก็ไม่มีผลต่อใบแต่อย่างใด วิธีนี้จะสิ้นเปลืองน้ำยามาก
และฮอร์โมนถูกช่อองุ่นไม่ทั่วทั้งช่อแต่ประหยัดเวลาและแรงงานได้มากกว่า
ส่วนอีกวิธีคือ ชุบช่อดอก ช่อผล ซึ่งประหยัดน้ำยาได้มากกว่า วิธีการทำง่าย
แต่เสียแรงงานมากกว่าอุปกรณ์ง่ายๆ สำหรับการชุปฮอร์โมนคือ
หาถุงพลาสติกขนาดโตพอที่จะสวมช่อองุ่นได้มา 2 ใบ
ใบแรกใส่น้ำธรรมดาลงไปประมาณ 1 ใน 3
ของถุง ใบที่ 2
ใส่สารฮอร์โมนที่ผสมเตรียมไว้ลงไปประมาณครึ่งถุงเอาถุงใบที่มีฮอร์โมนสวมลงไปในถุงใบที่มีน้ำ
จักปากถุงให้เสมอกันแล้วพับตลบปากถุงออกด้านนอก 2-3
พับ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำในถุงไหลออกมาได้ เมื่อจะชุบช่อองุ่นให้วางถุงบนฝ่ามือ
เปิดปากถุงให้กว้างแล้วสวมเข้าไปที่ช่อองุ่น
บีบฝ่ามือน้ำยาก็จะทะลักขึ้นมาด้านบนทำให้เปียกทั้งช่อ แล้วเปลี่ยนไปชุบช่อต่อๆ ไป
เวลาที่ใช้ในการชุบช่อแต่ละช่อเพียวอึดใจเดียว คือ
เมื่อบีบถุงน้ำยาทะลักขึ้นไปโดนช่อแล้วก็คลายมือที่บีบแล้วนำถุงน้ำยาออกทันที
ฉะนั้นคนที่ชำนาญจะทำได้รวดเร็วมากเมื่อชุบช่อไปได้สักพักน้ำยาในถุงจะพร่องลง
ก็เติมลงไปใหม่ให้ได้ระดับเดิม คือ ประมาณครึ่งถุงตลอดเวลา
การบีบต้องระวังอย่าให้แรงมากเพราะน้ำยาจะทะลักล้นออกนอกถุงเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
ข้อควรระวัง การใช้ฮอร์โมนชุบช่อนี้เป็นโอกาสที่จะทำให้โรคต่างๆ
ระบาดจากช่อหนึ่งไปยังอีกช่อหนึ่งได้ง่าย ถ้าเป็นช่วงที่โรคกำลังระบาดอยู่
ควรเติมยากันราลงไปในฮอร์โมนนั้นด้วย
และการใช้ฮอร์โมนต้องระวังเกี่ยวกับการเตรียมสารให้ได้ความเข้มข้นที่กำหนด
การผิดพลาดเพียงเล็กน้อยจะทำให้ผลองุ่นร่วงง่าย ขั้วผลเปราะนั่นเอง
การเก็บเกี่ยวและการขนส่วจึงต้องระมัดระวังมาก แต่สามารถแก้ไจได้โดยการใช้สาร 4-CPA
(4-Chlorophenoxy acetic acid) ฉีดพ่นก่อนเก็บผลประมาณ 10
วัน
จะช่วยลดการร่วงของผลได้บ้างแต่ก็ยังร่วงมากกว่าองุ่นที่ไม่ได้ใช้สารจิบเบอร์เรลลิน
7. การใส่ปุ๋ย
ปุ๋ยนับว่ามีความสำคัญมากเพราะองุ่นเจริญเติบโตทั้งปีให้ผลผลิตมาก
ดังนั้นจึงต้องใช้ธาตุอาหารต่างๆ มาก ปุ๋ยที่ใช้ ได้แก่
7.1 ปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
ถึงแม้จะมีโรตุอาหารที่พืขต้องการจำนวนน้อย แต่มีคุณสมบัติทำให้โครงสร้างของดินดี
ดังนั้นควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักทุกปีๆ ละอย่างน้อย 1
ครั้งๆ ละ 5-10 กิโลกรัม/ต้น
แต่ต้องคำนึงเสมอว่าปุ๋ยคอกและปุ๋ยหมักที่จะนำมาใส่นั้น
ต้องเป็นปุ๋ยที่มีการย่อยสลายหมดแล้ว โดยเฉพาะปุ๋ยมูลค้างคาวใช้ได้ผลดี
7.2 ปุ๋ยเคมี
- ระยะเลี้ยงเถา
การใส่ปุ๋ยช่วงนี้เพื่อบำรุงรักษาต้นให้มีการเจริญเติบโตของลำต้น กิ่งก้าน
ปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นปุ๋ยเคมีสูตรเสมอ เช่น สูตร 15-15-15
หรือ 16-16-16 อัตราที่ใส่ไม่ควรมากนักแต่ควรใส่บ่อยครั้ง
เช่น อัตราต้นละ 50 กรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 1
เดือน จนถึง 3 เดือน แล้วเพิ่มเป็น 100
กรัม/ต้น ทุกเดือน แต่อัตราการใส่นั้นขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นองุ่นด้วย
- องุ่นที่ให้ผลแล้ว ควรแบ่งใส่ 4
ระยะ ดังนี้
ระยะที่ 1
หลังการเก็บเกี่ยวมีดแรกใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15
หรือ 12-24-12
อัตราขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ของต้นเพื่อบำรุงต้นพร้อมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
ระยะที่ 2
หลังตัดแต่งกิ่ง 7-15 วันใส่ปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15
หรือ 16-16-16 เพื่อบำรุงยอดใบและดอก ที่ผลิขึ้นมาใหม่
ระยะที่ 3
หลังตัดแต่งกิ่ง 45 วัน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21
หรือ 12-12-17 หรือ 4-16-24-4
ใส่เพื่อช่วยเร่งการเจริญเติบโตของผลประมาณ 100
กรัม/ต้น
ระยะที่ 4
หลังตัดแต่งกิ่ง 75 วัน ระยะนี้ควรใส่ปุ๋ยที่มีโปรแตสเซียมสูง
ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 0-0-50 หรือ 13-13-21
ประมาณ 100 กรัม/ต้น
เพื่อเพิ่มคุณภาพผลองุ่นและสีผิวและรสชาติ
- ธาตุอาหารเสริม
ต้นองุ่นที่มีสภาพค่อนข้างโทรม
ขาดการบำรุงที่ดีควรเร่งให้รากเจริญเติบโต เสริมสร้างความอุดมสมบูรณ์ของต้นให้พัฒนาการได้อย่างรวดเร็ว
โดยใช้ปุ๋ยเกร็ดสูตร 15-30-15 หรือ 10-20-30
หรือ 20-20-20 ที่มีธาตุอาหารรองและธาตุปริมาณน้อยอัตรา 60
กรัม ผสมกรดฮิวมิค 100-200 ซีซี/น้ำ 20
ลิตร ราดบริเวณใต้ทรงพุ่มให้ทั่วทุกสัปดาห์รวม 3
ครั้ง หรือฉีดพ่นอาหารเสริมทางใบสูตร “ทางด่วน” ซึ่งประกอบด้วย
สารอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตเป็นองค์ประกอบหลัก เช่น ครอปไจแอน โพลีแซค มอลตานิค
และฟลอริเจน เป็นต้น อัตรา 20-30 ซีซี (อาจใช้น้ำตาลกลูโคส)
หรือเด็กซ์โตรส 600 กรัม ฮิวมิคแอซิค อัตรา 20
ซีซีปุ๋ยเกร็ด สูตร 15-30-15 หรือ 20-20-20 หรือ
10-20-30 ที่มีธาตุอาหารรองและธาตุปริมาณน้อยอัตรา 40-60
กรัมสารจับใบส่วนผสมทั้งหมดผสมรวมกันในน้ำ 20
ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วต้นทุก 7 วัน ติดต่อกันนาน 3-4
สัปดาห์
8. การให้น้ำ
องุ่นมีความต้องการน้ำมาก
จึงควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมออย่าให้แห้ง โดยเฉพาะหลังจากตัดแต่งกิ่ง
ต้องให้น้ำเพื่อให้ดินชื้นอยู่เสมอแต่อย่าให้ถึงกับแฉะ
ในระยะแรกแปลงองุ่นจะโล่งไม่มีใบปกคลุมการให้น้ำอาจจะต้องให้ทุกวัน
สังเกตดูว่าอย่าให้ดินในแปลงแห้งมาก การให้น้ำนี้ควรให้อย่างสม่ำเสมอไปเรื่อยๆ
จนถึงระยะที่ผลแก่จึงควรงดการให้น้ำ 2-4 สัปดาห์ก่อนวันตัดผล
เพื่อให้องุ่นมีคุณภาพดีรสหวานจัดและสีสวยการให้น้ำก่อนตัดผลจะเพิ่มน้ำหนักขึ้นบ้าง
แต่ผลองุ่นที่ได้จะมีคุณภาพไม่ดี เน่าเสียเร็ว เก็บไว้ได้ไม่นาน
การห่อผล
หลังจากตัดแต่งผลแล้ว
ควรห่อผลเพื่อป้องกันแมลงเข้าทำลาย เช่น เพลี้ยแป้ง แมลงวันทอง อีกทั้งยังทำให้ผลองุ่นผิวสวยลูกโตกว่าปกติ
และป้องกันความเสียหายจากเส้นผมของผู้ปฏิบัติงานไปโดนผลองุ่นอีกด้วย
วัสดุที่ใช้ห่อผลองุ่นอาจทำเอง โดยใช้กระดาษ
เช่น กระดาษกระสอบปูน ซึ่งทนต่อน้ำฝน ไม่ค่อยเปียกน้ำและเมื่อถูกน้ำจะแห้งเร็ว
ทำให้ไม่ฉีกขาดง่าย แต่ถ้าใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ จะใช้ได้ไม่นานเพราะกระดาษหนังสือพิมพ์เมื่อโดนน้ำแล้วจะซับน้ำและเปื่อยยุ่ยได้ง่าย
หรืออาจจะซื้อวัสดุห่อผลองุ่นแบบสำเร็จรูปก็ได้
ปัจจุบันจะมีบริษัทผลิตจำหน่ายหลายแบบ
แต่ก่อนห่อผลจะต้องฉีดพ่นยากันเชื้อราก่อนหรือใช้วิธีการจุ่มช่อผล
เหมือนกับการจุ่มฮอร์โมนยืดช่อดอกก็ได้
เพื่อป้องกันโรคผลเน่าที่เกิดจากเชื้อราเข้าทำลาย
การเก็บเกี่ยว
การเก็บเกี่ยวผลองุ่นเป็นขั้นตอนที่สำคัญตอนหนึ่งเพราะองุ่นเป็นผลไม้บ่มไม่ได้
กล่าวคือ เมื่อเก็บมาจากต้นเป็นอย่างไรก็จะยังคงสภาพอยู่อย่างนั้น ไม่หวานขึ้น
และไม่สุกมากขึ้นอีกแล้ว การเก็บผลองุ่นจึงต้องเก็บในช่วงที่ผลแก่เต็มที่
และไม่แก่เกินไป ผลองุ่นที่ยังไม่แก่เต็มที่จะมีรสเปรี้ยว รสฝาด คุณภาพของผลไม่ดี
สีไม่สวย ส่วนผลองุ่นที่แก่เกินไปจะหวานจัดเกินไป เน่าเสียง่าย เก็บไว้ไม่ได้นาน
ผลหลุดร่วงง่าย เป็นต้น ผลองุ่นที่แก่จัดสังเกตได้หลายอย่าง เช่น
กานับอายุตั้งแต่ตัดแต่งจนถึงแก่จัดซึ่งจะแตกต่างกันไปแล้วแต่พันธุ์ เช่น
พันธุ์คาร์ดินัล ประมาณ 3 เดือน พันธุ์ไวท์มะละกา ประมาณ 3-3
เดือนครึ่ง
อย่างไรก็ตามการกำหนดการแก่ของผลโดยการนับอายุตั้งแต่ตัดแต่งนี้มีข้อสังเกตบางประการ
เช่น ผลองุ่นที่ใช้ฮอร์โมนจะสุกเร็วกว่าผลที่ไม่ใช้ฮอร์โมนหลายวัน
และฤดูกาลก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย เช่น ฤดูแล้ง ผลจะสุกเร็วกว่าฤดูฝน เป็นต้น
จึงต้องใช้อย่างอื่นประกอบด้วย เช่น สีของผลที่แก่จัดจะเปลี่ยนจากสีเขียว
(องุ่นทุกพันธุ์ตอนที่ผลยังเล็กอยู่จะเป็นสีเขียว) เป็นสีตามพันธุ์ เช่น พันธุ์ไวท์มะละกา
เมื่อแก่จัดเป็นสีเหลืองอ่อนหรือเหลืองใน
ส่วนพันธุ์คาร์ดินัลเป็นสีม่วงดำหรือแดงอมดำ เป็นต้น นอกจากสีของผลแล้ว
อาจดูจากความหวานของผลโดยการทดลองชิมดูหรือใช้เครื่องวัดเปอร์เซ็นต์ความหวาน
(น้ำตาล) หรืออาจดูจากขั้วช่อผล ถ้าผลแก่จัด ขั้วของช่อผลจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีน้ำตาล
ดังนั้นการเก็บผลองุ่นที่แก่จัดควรอาศัยหลายๆ
อย่างประกอบกันเพื่อให้แน่ใจและที่สำคัญอย่างยิ่ง
คือควรงดการให้น้ำแก่ต้นองุ่นสักระยะหนึ่งก่อนการตัดผลเพื่อให้ผลองุ่นมีคุณภาพดีอย่างไรก็ตาม
บางครั้งผู้ปลูกอาจจำเป็นต้องเก็บผลองุ่นที่จะแก่จัดด้วยเหตุหลายประการ เช่น
ฝนตกขณะผลกำลังแก่จัดจะทำให้ผลแตกเสียหายมาก โดยเฉพาะพันธุ์คาร์ดินังล
และเหตุผลสำคัญอีกประการหนึ่งคือ
พ่อค้าจะเป็นคนกำหนดให้เก็บผลองุ่นตามเวลาที่เขาต้องการถึงแม้ว่าผลองุ่นจะยังไม่แก่จัดก็ตาม
เพราะว่าองุ่นขาดตลาด เป็นต้น สำหรับองุ่นที่ปลูกอยู่ในแปลงเดียวกันจะแก่ไม่พร้อมกัน
การเก็บจำเป็นต้องเก็บหลายครั้ง โดยเลือกเก็บเฉพาะช่อที่แก่เต็มที่ก่อน
และทยอยเก็บไปเรื่อยๆ จนหมด การเก็บใช้กรรไกรตัดที่ขั้วผลแล้วบรรจุลงเข่ง
หรือลังไม้ที่บุ หรือรองด้วยกระดาษห่อฝอยหรือใบตอง เพื่อป้องกันการชอกช้ำในขณะขนส่ง
การขนส่งก็ควรทำด้วยความระมัดระวังอย่าให้ชอกช้ำมาก
และอย่านำเข่งที่บรรจุผลองุ่นวางซ้อนกัน